วันศุกร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

เข็มทิศความสำเร็จ เส้นทาง ชีวิตมหัศจรรย์


เข็มทิศชีวิตมหัศจรรย์

ระยะนี้ มักมีคนมาเล่าให้ฟังว่าตัวเองมักแอบคิดในใจ ว่าสิ่งที่คนอื่นทำยังคุณภาพไม่ดี น่าจะทำได้ดีกว่านี้ แล้วแอบเจ็บใจเล็กๆที่ตัวเองไม่เคยลงมือทำ

กี่ครั้งที่แอบเห็นผลงานของคนอื่นแล้วอยากมีบ้างแต่ไม่เคยลงมือทำ มีข้ออ้างสารพัด

บางคนอ้างผิดว่าพอเพียง

คนจำนวนมาก เอาคำว่าสันโดษและพอเพียงเป็นข้ออ้าง ในการไม่ลงมือทำสิ่งที่ควรทำ

การสันโดษนั้น แปลว่าพอใจในสิ่งที่มี ยินดีในสิ่งที่ได้ สันโดษในการใช้สอย สันโดษพอใจในความสะดวกสบายที่มีตามฐานะ

แต่ไม่ใช่สันโดษในการทำความดี ไม่ใช่สันโดษในการส่งมอบผลงาน

หากเรามองบุคคล ที่ทำประโยชน์ให้ชาติบ้านเมือง เราจะพบวิถีชีวิตที่เรียบง่าย แต่ไม่เคยหยุด ในการคิดสร้างสรรค์ทำประโยชน์เพื่อบ้านเมืองและส่วนรวม

แล้วคนจำนวนมากในประเทศของเรากลับ ไม่สันโดษในการใช้สอย มีอะไรฮิต เรามีตามหมดทุกอย่าง ไม่พอเพียงในการซื้อแต่ กลับอ้างว่าพอเพียง หยุดในการคิดสร้างสรรค์ ไม่ลงมือ ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์

ซ่อนตัวอยู่ในมุมสบาย ที่กลัว กลัวถูกตัดสิน กลัวไม่สำเร็จ กลัวล้มเหลว ลืมไปว่า การกลัวนั้น ทำให้คนได้รับสิ่งที่ตนเองกลัวเดี๋ยวนั้นเลย

สิ่งที่คนกลัว จนไม่ทำสิ่งที่ควรทำ เขาได้รับมัน ในชีวิตทันที

ลุกขึ้นมาเผชิญหน้ากับความกลัวของตัวเอง มองลงไปตรงๆ ว่า ไหนดูซิ ความกลัวหน้าตาเป็นอย่างไร ทันทีที่เรารู้ทันลงไปในความรู้สึก ความรู้สึกนั้น จืด จาง ลดกำลังลดอิทธิพล ลงไปจากใจเราทันที

ไม่สามารถครอบงำเราได้ เราเป็นอิสระ มีใจที่เป็นอิสระจากความรู้สึก คล่องแคล่วว่องไว ควรแก่การงาน สามารถเลือกความคิด ความรู้สึก ที่เป็นประโยชน์ ต่อชีวิต ทำให้เราได้ทำสิ่งที่ควรทำอย่างมีพลัง

ล่าสุด เพิ่งมีเด็กนักศึกษาเขียนมาถามว่า มีนักเขียนคนหนึ่ง เขียนไว้ว่า คนเราไม่ควรทำอะไรเร็ว กว่ากฏเกณฑ์ของสังคม สังคมกำหนดให้จบปริญญาตรี หรือโทตอนไหน ต้องทำตอนนั้น ไม่งั้น จะไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต และชีวิตจะต้องล้มเหลวก่อน อิฐก้อนแรกต้องบิดเบี้ยว จึงจะดี ทั้งที่มีคนจำนวนมากจบตามกฏเกณฑ์ของสังคมทุกอย่างแต่ยังล้มเหลวอยู่เลยน้องนักศึกษาจึงสงสัยและเขียนมาถาม

สิ่งที่ผู้เขียนตอบน้องนักศึกษาไปคือ

คนเราจะพูดตามประสบการณ์ของชีวิตตัวเอง

คนจำนวนมาก พูดถึงแต่ความล้มเหลว มัวศึกษาจนจมอยู่กับความล้มเหลว ชีวิตนี้ จึงไม่ได้ลิ้มรสความสำเร็จ เสียที

มัวอยู่กับความล้มเหลว จนไม่เคยได้สัมผัสความสำเร็จ

ได้แต่ชะเง้อ มองความสำเร็จของคนอื่น แล้วขมขื่นวิพาษณ์วิจารณ์ไปเรื่อย เหมือนองุ่นเปรี้ยวยังไม่พอ ยังพยายามชักจูงให้คนอื่นล้มเหลวเหมือนตัวเองอีก

มนุษย์เรานั้น มีระบบในการตีความตอบสนอง ตามกรอบความคิดของเรา

สิ่งต่างๆที่เราทำในชีวิต มีประโยชน์ให้เราเรียนรู้เติบโต หากเราเพ่งจ้องมัวเรียกและคิดว่า มันเป็นความล้มเหลว ระบบประสาทของเรา จะมองผ่านสิ่งดีดีที่เราเรียนรู้ได้จากมัน

ในทางตรงกันข้าม หากเรามองเห็น ว่า ทุกอย่างเป็นกระบวนการเรียนรู้ และเราได้ทำบางอย่างสำเร็จ มีสิ่งดีดีมากมายซ่อนอยู่ในทุกเหตุการณ์ เราได้เติบโตจากในแต่ละสิ่งนั้น และสามารถพัฒนาต่อไปได้อีก อะไร ที่เราควรเพิ่มความระมัดระวังในโอกาสต่อไป

ใจของเราก็จะเรียนรู้จากความสำเร็จ แม้จากจุดที่เล็กที่สุด และพัฒนาให้เติบโตใหญ่ มีประโยชน์กับผู้คนได้กว้างไกลมากขึ้นทุกวัน

เราเลือกความคิด เลือกการตีความ และเลือกการตอบสนองของเรา

ทันที่เราเลือกการกระทำ เราเลือกผลลัพธ์ในชีวิตเช่นกัน

เราบังคับให้ทุกอย่างเป็นอย่างที่เราต้องการตลอดเวลาไม่ได้

แต่เราสามารถเลือกความคิดความรู้สึก และการกระทำของเราได้

ทันทีที่เราเลือก รับผิดชอบ เรามีอำนาจ ในการกำหนดความรุ้สึกต่อชีวิตตัวเอง

เลือก อย่างมั่นคง

บทความโดย ฐิตินาถ ณ พัทลุง เข็มทิศชีวิต
โพสต์ทูเดย์ เมษายน 2556


วันพฤหัสบดีที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

กุนซือ ไลฟ์โค้ช และเข็มทิศจิตใต้สำนึก


เข็มทิศจิตใต้สำนึก โดย ครูอ้อย ฐิตินาถ ณ พัทลุง www.compassnlp.com www.facebook.com/compassnlpworld 
บทความจากโพสต์ทูเดย์ เดือน มีนาคม 2556
โลกของชาวตะวันออกเป็นโลกของกุนซือมาแต่ดั้งเดิม ในหนังละครจักรๆวงศ์ๆของเราก็จะมีปุโรหิต มีที่ปรึกษาคอยให้คำแนะนำก่อน เจ้าเมืองจะทำอะไรมาแต่โบราณ ในต่างประเทศเจ้าเมืองก็จะมีคณะที่ปรึกษาเป็นคณะใหญ่ก่อนตัดสินใจทำอะไร ปัจจุบัน วิชาว่าด้วยที่ปรึกษาถูกพัฒนาไปทั่วโลกเพื่อให้คำปรึกษาลงมาเพื่อในระดับบุคคลทั่วไป เรียกว่าไลฟ์โค้ช 

วันนี้ครูอ้อยจะมาบอกวิธีในการให้เราเริ่มศึกษาโครงสร้างการเป็นไลฟ์โค้ชของตัวเอง การแก้ปัญหาของเรา เมื่อก่อนนี้ จะเป็นในแนวราบคือพาคนจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดที่เขาต้องการจะไปในเหตุการณ์เฉพาะด้าน แต่ในปัจจุบัน ศาสตร์ของการโค้ชชิ่ง ที่ได้ผลในระดับการเปลี่ยนแปลงชีวิต จะอยู่ในแนวลึก ถ้าจะแบ่งกว้างๆคือเป็น 3ระดับ

ระดับเบื้องต้นคือ การโค้ชเพื่อสถาณการณ์เฉพาะหน้าบางอย่าง เช่น นักกีฬา ต้องการจะเข้าแข่งขันและทำสถิติที่ดีที่สุดให้ตัวเอง คนจะไปสัมภาษณ์ตำแหน่งงานที่ยิ่งใหญ่แบบก้าวกระโดด ดาราไปเสนอตัวเพื่อรับบทนางเอก นักธุรกิจเตรียมตัวเพื่อวันนำเสนอควบรวมกิจการของบริษัทหรือนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ให้ฮือฮาแบบที่สตีฟ จ๊อปส์นำเสนอไอโฟน นักขายประกันจะโทรปิดดีลกับลูกค้ารายใหญ่ที่สรุปกันไม่ได้มานาน 

หญิงสาวจะบอกชายหนุ่มที่ตัวเองแอบรักมานานเกือบสิบปี ต้องการหายจากอาการอกหักจากคนรัก จากเจ้านาย จากเพื่อน เปลี่ยนความรู้สึกหลังถูกปลดออกจากงานหรือเคยล้มเหลวทางธุรกิจแล้วหนึ่งครั้งให้กลับมากล้าออกตลาดอีกครั้งหนึ่ง 

การโค้ชเพื่อสถาณการณ์เฉพาะนี้ พอจบเหตุการณ์นั้นแล้ว ผู้รับการโค้ชก็มักจะกลับไปดำเนินชีวิตของตัวเองต่อไปแบบเดิมตามปกติ

ในระดับที่สอง คือการโค้ชในมิติด้านใดด้านหนึ่งของชีวิต ไม่ใช่แค่การบอกรักครั้งเดียว แต่เป็นการดูแลความรักความสัมพันธ์ให้ดีตลอดไป การพัฒนาความสัมพันธ์ของพ่อแม่กับลูก การพัฒนาจิตวิญญาณการขาย ไม่ใช่แค่ครั้งใดครั้งหนึ่ง  ซึ่งวัดผลเป็นภาพรวมของชีวิตในด้านนั้นๆที่ถูกยกขึ้นมาทั้งแผง

ในระดับที่ลึกซึ้งที่สุดคือในระดับที่สามเรียกว่าระดับตั้งเข็มทิศ คือคุณภาพชีวิต ไม่ใช่แค่การหายจากอารมณ์อกหักหนึ่งครั้ง ไม่ใช่แค่หายจากความรู้สึกหลอนที่ขาดทุนหรือพลาดทางธุรกิจหนึ่งครั้ง ไม่ใช่แค่การปิดการขาย ไม่ใช่แค่เป็นพ่อแม่ที่รับมือกับลูกวัยรุ่นได้ดี แต่เป็นเกี่ยวกับภาพรวมของชีวิตทั้งหมดของเรา

เช่น ถ้าหากคุณพบว่าคุณขาดแรงบันดาลใจในการทำงาน รู้สึกเหมือนทำงานให้จบไปวันๆเพื่อได้เงินมาผ่อนบ้านผ่อนรถ ไต่ระดับไปเรื่อยๆ มีชีวิตรักแบบแกนๆ พูดกันตามหน้าที่ ลูกเริ่มก้าวร้าวรุนแรง ไม่มีความมั่นคงทางการเงิน

กรณีเหล่านี้ เราต้องการการยกเครื่องความคิดในภาพรวมของชีวิต ถ้าเปรียบในระดับที่หนึ่ง คือเราต้องการเทคนิค การขาย เทคนิคการบอกรัก เทคนิคการนำเสนอ

ในระดับที่สองคือระดับการให้กลยุทธ์ กลยุทธ์ในการขาย กลยุทธ์ในการมีความรักที่ดี กลยุทธ์ในการเป็นนักขายที่ประสบความสำเร็จ 

ระดับที่สามคือการเปล่ียนมุมมองของตัวเราเองต่อสิ่งต่างๆ เรียกว่าระดับ Paradigm Shiftคือยกภาพรวมแผนที่ ที่เรามองโลก ที่เราเห็นโลก ทำให้การตีความหมายและวิธีปฏิบัติที่เรามีต่อโลกเปลี่ยนแปลงไป ทำให้ผลลัพธ์ในชีวิตของเราเปลี่ยนแปลงดีขึ้นอย่างยั่งยืน

สรุปคือ การดูแลชีวิตที่ยั่งยืน ใช้การกลับมาทบทวนความเชื่อ ความคิด แผนที่การตีความที่เรามีต่อโลก ความเชื่อเกี่ยวกับตัวเอง สิ่งที่พ่อแม่ปลูกฝัง ประสบการณ์เดิม ที่เราฝังใจ ว่าสิ่งที่เราเจอมันต้องเป็นแบบนั้นตลอดไป 

วิธีการเป็นแบบอัตโนมัติของเรา ที่ปรกติเราจะทำแบบนั้นซ้ำๆแบบออโต้ไพล็อต ทำให้เราได้รับผลในชีวิตแบบซ้ำๆ

คนทั่วไปจะเข้าใจว่าการเปลี่ยนตัวเองยากลำบาก เหตุผลที่ยากเพราะคนส่วนใหญ่มัก เปลี่ยนด้วยเหตุผลจากภายนอกเช่นเจ้านายต้องการให้ทำแบบนี้ พ่อแม่สามีภรรยาอยากให้ทำแบบนี้

สมมติว่าทุกวันนี้เราใช้เวลาในการขับรถไปทำงานวันละ หนึ่งชั่วโมงครึ่ง รถแน่นติดขัดยากลำบากมากที่จะไปถึง แต่หากผู้เขียนมาบอกเราว่า มีอีกทาง ใช้เวลาประมาณ20นาที เป็นถนนตัดใหม่ รถน้อย วิวสวยน่ารื่นรมย์ แต่คนไม่ค่อยมาลองเพราะเชื่อว่าจะไม่มีทาง เมื่อคุณไปลองขับดูแล้วเป็นไฮเวย์ใหม่ที่โล่ง สบาย ดีกับชีวิตจริงๆ คุณคิดว่า จะต้องให้ผู้เขียนบอกคุณบ่อยๆ หรือโชว์ให้ดูเพียงแค่ครั้งเดียวคุณก็พร้อมที่จะเดินเส้นนั้น ทุกครั้งที่คุณต้องการจะเดินทางไปทำงาน

สรุปคือ การเปลี่ยนที่ใช้เวลาสั้น เร็ว และได้ผล เกิดจากภายใน ที่เจ้าตัวมองเห็นประโยชน์เห็นสิ่งที่ดีกับชีวิตของตัวเองอย่างแท้จริง และเลือกการเป็นใหม่มาใช้กับตัวเองอย่างถาวร

ผู้เขียน จะจัดงานการกุศล ฟรี ในเรื่องนี้ ในวันเสาร์ที่ 16 มีนาคม 2556นี้ ชื่องานเข็มทิศความสุข 3 ฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ มีนักธุรกิจ ดาราศิลปิน ไปช่วยกันขยายความ เรื่องราวด้านบน เป็นการตอบแทนคุณแผ่นดินไทย ใครว่างพบกันไม่ต้องจอง ที่งานเข็มทิศความสุข 3 ศูนย์กีฬาไทย ญี่ปุ่นดินแดง เวลาเที่ยงตรง เสาร์ที่ 16 มีนาคมนี้ เอาหัวใจไปมีความสุข หายใจสดชื่น แล้วกลับมามีชีวิตที่ดี ชีวิตเราทุกคนแข็งแรง ประเทศไทยแข็งแรง

ขอให้ทุกท่าน มีชีวิตที่ดีงาม รู้ว่าทุกความท้าทาย มีทางออกที่สวยงามเสมอ

มีความสุข มีพลัง


เข็มทิศไลฟ์โค้ช โดย เข็มทิศชีวิต ฐิตินาถ ณ พัทลุง

ทุกวันนี้เราจะได้ยินคำว่าไลฟ์โค้ช ในบทความ รายการโทรทัศน์จากต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง จนสงสัยว่า คำว่าไลฟ์โค้ชคืออะไร ทำไม นักธุรกิจ ศิลปินดาราฮอลลีวูด นักกีฬาระดับโลกจึงต้องมีไลฟ์โค้ช เขาโค้ชอะไรกัน แล้วเราต้องมีหรือเปล่า

ไลฟ์โค้ช คือโค้ชชีวิต ที่ไม่ได้เก่งในด้านที่เราทำงานมากกว่าเรา แต่เขารู้ว่าจะทำให้เราเป็นเราที่ดีที่สุดในด้านที่เราทำอย่างไร ไลฟ์โค้ชของอังเดร อากัสซี่ อาจจะเล่น เทนนิสไม่เป็นเลยก็ได้ แต่เขาสามารถทำให้ อังเดร กลับขึ้นมาท๊อปฟอร์ม และยืนอยู่ในจุดที่เขาควรยืนอยู่ได้ 

ไลฟ์โค้ช เป็นวิชาว่าด้วยการเป็นที่ปรึกษา ที่ไม่ได้ให้แค่คำปรึกษา แต่ใช้เทคนิคทางจิตใจ เพื่อขับเคลื่อนให้คนมีชีวิตที่ดีมีความสุข ไลฟ์โค้ชจะถูกฝึกวิทยาศาสตร์ความสุขความสำเร็จ Neuro-Linguistic Programming ที่ถูกคิดค้นขึ้นเมื่อ 50ปีที่แล้วเป็นต้นแบบที่จุดประกายการศึกษาคนที่มีความสุขประสบความสำเร็จมากกว่าการหาว่าคนมีความบกพร่อง ฝึกวิชา Hypnotherapy เพื่อนำคนกลับไปเข้าใจยอมรับให้อภัยคลี่คลาย ปลดล๊อคตัวเองจากกรอบความรู้สึก และความเข้าใจเดิมๆ เรียนการโค้ชชิ่งตั้งเป้าหมาย กำหนดกลยุทธ์วิธีการ ศึกษาโปรแกรมที่เป็นระบบอัตโนมัติในใจคนเช่นสามีภรรยาที่ทะเลาะกันเวลาไปเที่ยวเพราะภรรยาเป็นคนแบบขั้นตอน ( Procedures)คือต้องจองวางแผนก่อนเดินทางส่วนสามีเป็นคนรูปแบบ (Choices) ทางเลือกคือชอบไปตื่นเต้นลุยเอาข้างหน้า  หรือเจ้านายชอบแบบเดิมๆ ลูกน้องชอบใหม่ และผจญภัย จึงนำเสนอทางเลือกใหม่นวัตกรรมใหม่ ที่นายไม่รู้สึกปลอดภัย ก็ทำให้การนำเสนองานไม่ผ่าน ซึ่งหากคนไม่เข้าใจรูปแบบของอีกคนหนึ่งก็ทำให้ความสัมพันธ์และการทำงานไม่ราบรื่น 

การเข้าใจตัวเอง เข้าใจคนอื่น เพื่อให้เราดูแลความสัมพันธ์ ความรู้สึกได้ราบรื่นลงตัว

เทคนิคต่างๆนั้น อันที่จริง เป็นระบบความคิดธรรมดา ที่คนที่ทำสำเร็จก็คิดแบบนั้นในหัวอยู่แล้ว แต่เวลาเจอความท้าทายในช่วงที่ภาวะทางใจหรือกายไม่แข็งแรง คนมักจะลืม การเป็นที่ดีที่สุดของตัวเอง

เช่นเวลาเราทำงานสำเร็จ เราจะคิดถึงงานนั้นอย่างตื่นเต้น เห็นภาพชัดว่าเราจะทำอะไร แม้บางครั้งอาจจะมีความกลัว ก็ลงมือทำมันอยู่ดี มีความสุข มีความปีติ ตั้งแต่ก่อนทำ ระหว่างทำ หลังทำ

เวลาเราตัดสินใจถูก เรามีวิธีตัดสินใจแบบหนึ่ง เวลาตัดสินใจผิดก็มีรูปแบบการตัดสินใจอีกแบบ เช่นฟังเสียงภายนอกมากเกินไปจนลืมผ่านกระบวนการคิดพิจารณาภายในมากพอ

เวลาเราก้าวข้ามเหตุการณ์บางอย่างได้ เพราะเรามองเหตุการณ์นั้น จากสายตาคนที่มองกลับเข้ามา จนเกิดความเข้าใจ ยอมรับ ให้อภัย มีความรู้สึกที่ดีมั่นคง เรียนรู้แล้วเดินต่อไปได้

แต่ Common Sense สามัญสำนึก ไม่ได้เป็น Common Practice ที่คนจะนำมาปฏิบัติเป็นปกติเสมอไป โดยเฉพาะเวลาเมาหมัด

คนอาจเคยทำบางอย่างสำเร็จ เคยเป็นที่รัก เคยมีความสุขกับชีวิต เคยคิดอะไรหยิบจับอะไรก็สำเร็จดีไปหมด

แต่เวลาที่คนเจอ Emotional Challenge เจอเรื่องราวที่ส่งผลกระทบทางใจ คนจะมีอาการที่เรียกว่าไปไม่ถูก ไปไม่เป็น ทำอะไรก็ผิดไปหมด เดินหน้าก็ผิด ถอยหลังก็ผิด พูดก็ผิด ไม่พูดก็ผิด ตัดสินใจเลือกใคร เลือกอะไรก็ผิด เนื่องจากอยู่ในจุดที่สเตทผิด คือมีภาวะทางกายทางใจที่ไม่เที่ยงตรง ไม่มั่นคง มองจากมุมที่บิดอยู่จึงทำให้เลือกอะไรก็ผิดไปหมด ใครจะแนะนำให้ทำอะไร หรือคิดจะทำอะไรก็ทำไม่สำเร็จ

หลักการตามธรรมชาติคือ พาเขากลับไปรู้สึกและยืนในจุดที่เขามั่นคงก่อน พอภาวะทางกาย และทางใจมั่นคง ทุกอย่างทุกการกระทำ จะดี มั่นคงพอเหมาะ ลงตัว สำเร็จได้ง่ายแบบที่เขาเคยทำได้อยู่แล้ว

เวลาที่ชีวิตวุ่นวาย หลายอย่างเกิดขึ้น คำพูดของคน ผลของงานบางอย่าง ปัญหาทางความรัก การเงิน ครอบครัว ที่เวียนมาตอกย้ำ ยืนยัน ให้คนรู้สึกว่าตัวเองไม่เก่ง ไม่ดี อย่างที่เคยรู้สึกในอดีต ภาษาชาวบ้านเรียกว่าเป๋ วิธีดูแลคือ กลับมายืนให้ตรง

ตรงอย่างไร ตรงทั้งหลักการ เป้าหมายในชีวิต ลำดับสิ่งที่สำคัญต่อชีวิต สิ่งที่เราให้คุณค่า เช่นครอบครัว ความดีงาม การภาวนา ปัญญา การช่วยเหลือคน การพัฒนาตนเอง การทำสิ่งดีงามให้สำเร็จ การกล้าหาญ ความรักในชาติบ้านเมือง องค์กรที่เราอยู่ ความสุขสงบในชีวิต ตรงทั้งความรู้สึก

ทำเป้าหมายให้ตรง ลำดับสิ่งสำคัญในชีวิตให้ชัด แล้วทำใจให้สงบมั่นคง เข้าไปในภาวะที่เราท๊อปฟอร์มเป็นเราที่ดีที่สุด ทำสิ่งต่างๆสำเร็จ มีปัญญา มีสติ มีความเข้าใจ ใจตั้งมั่นเบิกบาน คิดภาพที่เป็นประโยชน์ พูดสิ่งดีดีกับคนอื่นและตนเอง ลงมือทำสิ่งที่ดีเป็นประโยชน์ต่อผู้คน มุ่งความสนใจโฟกัสไปที่สิ่งที่เราตั้งใจจะทำให้สำเร็จเป็นประโยชน์ต่อผู้คน จนใจเกิดความแช่มชื่นปีติยินดี มีกำลัง แล้วเอาใจที่มีคุณภาพ แคล่วคล่องผ่องใสนั้นไปทำการงาน ตัดสินใจ ลงมือทำในสิ่งต่างๆ

ใจของคนนั้น ก็เหมือนร่องนำ้ น้ำไหลทางไหนบ่อย ไหลมาอีกก็ไปทางนั้น หรือหากเราทำน้ำหกลงบนโต๊ะไม้ พอทำน้ำหกอีก มันจะไหลไปตามรอยเดิมที่เคยไหล ใจคนก็เหมือนกัน หากเคยชินกับการคิดถึงสิ่งดีดี คิดการอะไรก็สำเร็จ เป็นประโยชน์กับคนหมู่มาก มีอะไรเกิดขึ้นก็เห็นเป็นการเรียนรู้ ก็รู้สึกดีได้ทั้งยามที่ชีวิตง่ายและไม่ง่าย เป็นคนดำรงตนอยู่ในแดนของปัญญา ไม่ปล่อยตัวให้จมอยู่กับการคิดด้านลบ หรือความไม่สำเร็จ การหมั่นรักษาใจตนอยู่ดังนั้น ก็ทำให้ใจเกิดความเคยชิน คุ้นชิน ในการทำความดี มีความสุข ประสบความสำเร็จอยู่เสมอ

การเสพคุ้นนั้น มีผลกับชีวิตคนอย่างมาก ผู้มีปัญญาไม่ควรปล่อยกายปล่อยใจให้เสพคุ้นกับสภาพแวดล้อมที่ไม่สะอาด คนไม่สะอาด ความคิดที่ไม่สะอาด เพราะจะเป็นอันตรายมากกับชีวิตตนเอง

พอรู้ตัวต้องรีบสลัด เหมือนปล่อยก้อนหนาม ออกจากมือ ปล่อยเปลวไฟออกจากใจ

เล่ามาทั้งหมดนี้ เพื่อให้เราลองฝึกเป็นไลฟ์โค้ชให้ตนเองได้ด้วย ประเทศในเอเชียนั้น เรามีที่ปรึกษากันมาตั้งแต่โบราณ ดูในละคร ไทยจีน ก็มีที่ปรึกษา เหมือนที่   ขงเบ้งเป็นโค้ชให้เล่าปี่

ในยุคโลกาภิวัฒน์ ที่โลกเชื่อมถึงกันอย่างรวดเร็ว ประเทศไทย ต้องแข่งขันด้วยปัญญา เรียนรู้ศึกษา สิ่งดีดี ที่ฝรั่งทำ แต่ไม่ทิ้งจุดเด่นของไทยเรา เอาข้อดีของเขา มาปรับให้เข้ากับจุดแข็งวัฒนธรรมและสังคมของเรา ไม่ปฏิเสธ แต่ไม่รับมาทั้งหมด

ผู้เขียนจะเปิดสอน ฟรี หนึ่งวัน ให้กับประชาชนทั่วไป ได้ทบทวนเป้าหมายทิศทาง และกระบวนการความคิดของตนเอง ในการทำชีวิตให้มั่นคงประสบความสำเร็จมีความสุข ปรับสเตทให้ตรง เมื่อ ชีวิตคนแต่ละคนแข็งแรง ประเทศชาติของเราก็แข็งแรง  ท่านใดสนใจส่งพนักงาน ตัวเอง ครอบครัวเข้าฟัง ฟรี ติดตามข่าวสารได้ที่ www.facebook.com/compassnlpworld หรือ www.compassnlp.com

ขอให้มีความสุข มีชีวิตที่ยอดเยี่ยมทุกท่านค่ะ

 บทความจาก โพสต์ทูเดย์ เดือน กุมภาพันธ์ 2556